ภาพรวมของการสร้างนวัตกรรมด้วยระบบสมองกลฝังตัว
นวัตกรรมคืออะไร
นวัตกรรม
(Innovation) มีความหมายในทำนองว่า ความคิดใหม่ ๆ การคิดสร้างสรรค์
การจินตนาการถึงสิ่งใหม่ ๆ ในรูปแบบของอุปกรณ์หรือวิธีการ
นวัตกรรมนี้ถูกมองเสมือนกับการประยุกต์ใช้ของบางสิ่งบางอย่าง
ที่เป็นคำตอบของความต้องการใหม่ ๆ หรือความต้องการที่ไม่ชัดเจน การสร้างนวัตกรรมเริ่มจากการเล็งเห็นถึงการได้ประโยชน์จากการสรรสร้างสิ่งใหม่
ๆ ที่ทำให้ระบบเดิมมีประสิทธิภาพดียิ่งขี้นจากเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบัน
นวัตกรรมหนึ่ง ๆ ต้องมีความแปลกใหม่ (Originality) และมีประสิทธิภาพ
ทำให้สังคมหรือตลาดยอมรับและนำไปใช้ต่อ โดยคำว่า นวัตกรรม
มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับคำว่า การประดิษฐ์ (Invention)
โดยทั้งสองคำนี้มีความหมายที่สัมพันธ์กัน
แต่คำว่านวัตกรรมนั้นมักจะหมายถึงสิ่งที่นำไปใช้ได้จริง
มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม มากกว่าการประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์เท่านั้น
โดยนวัตกรรมนี้มักจะสรรสร้างจากกระบวนการทางวิศวกรรมซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้แก้ปัญหาทางเทคนิคโดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ
นวัตกรรมหนึ่ง ๆ อาจถูกมองได้สองด้าน คือ (1)
ระดับความแปลกใหม่ (Novelty) คือแปลกใหม่ในระดับท้องถิ่น แปลกใหม่ในระดับตลาด
แปลกใหม่ในระดับอุตสาหกรรม หรือ แปลกใหม่ในโลก และ (2) ประเภทของความแปลกใหม่
คือในด้านสิ่งของหรือด้านกระบวนการ
โดยปัจจุบันเราสามารถมองแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนระหว่างสิ่งที่เป็นนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
ในหนังสือเล่มนี้
จะกล่าวถึงความรู้พื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ต่อยอดในการสร้างนวัตกรรมได้
ระบบสมองกลฝังตัว
เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
โดยระบบสมองกลฝังตัว (Embedded
System) คือระบบประมวลผลที่ใช้ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) หรือไมโครคอนโทรลเลอร์
(Microcontroller) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับอุปกรณ์ที่ผู้ประดิษฐ์สรรสร้างขึ้น
โดยการใช้ระบบสมองกลฝังตัวนี้ จะทำให้อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมีความฉลาดหรือ สมาร์ท (smart) ขึ้นเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่ไม่มีระบบนี้ ปัจจุบันระบบสมองกลฝังตัวถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย
ทั้งในยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและสำนักงาน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากร
(ความเร็วและหน่วยความจำ)
ของชิปประมวลผลมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานประเภทนี้
ปัจจุบันการสร้างนวัตกรรมจากสิ่งประดิษฐ์อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและพบเห็นได้บ่อย
ๆ ตัวอย่างเช่นเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (รูปที่ 1.1 (ก))
และเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน (รูปที่ 1.1(ข))
ที่มีให้เห็นกันอย่างแพร่หลาย และเริ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น
โดยเบื้องหลังของการสร้างนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้นส่วนมากจะมีการนำระบบสมองกลฝังตัวไปใช้
เพื่อทำให้ระบบมีความแปลกใหม่ สามารถทำในสิ่งที่อาจไม่เคยทำได้มาก่อน
รูปที่
1.1
ตัวอย่างนวัตกรรมในเทคโนโลยีด้าน (ก) หุ่นยนต์ และ (ข) อากาศยานไร้คนขับ (ภาพ (ก)
และ (ข) จาก https://www.ecnmag.com/news/2019/01/top-10-robotic-innovations-2018 และ https://airdronecraze.com/drone-trends/
ตามลำดับ)
การศึกษาในทางวิศวกรรมเพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ
ในการนำไปพัฒนาระบบสมองกลฝังตัวขึ้นมาได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้ในหลายสาขาวิชา
โดยอาจแบ่งเนื้อหาวิชาที่จำเป็นต้องใช้เป็น 3 ส่วน คือ
วิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Computer Programming)
วิชาด้านอุปกรณ์และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Devices and Circuits) และ วิชาด้านไมโครโพรเซสเซอร์หรือไมโครคอนโทรลเลอร์
(Microprocessor/ Microcontroller) โดยนอกจากความรู้ในวิชาเหล่านี้แล้ว
ผู้ที่ต้องการพัฒนาระบบสมองกลฝังตัวขึ้นมาเป็นนวัตกรรมนั้นจะต้องมีทั้งความคิดสร้างสรรค์และการติดตามเทคโนโลยที่สนใจอย่างสม่ำเสมอด้วย
รูปที่
1.2
องค์ประกอบของการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยระบบสมองกลฝังตัว ที่ประกอบด้วยความรู้จากวิชาต่าง
ๆ ความคิดสร้างสรรค์และการติดตามเทคโนโลยี
เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง
เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง
(Internet
of Things, IoT) เป็นเทคโนโลยีที่อาศัยฐานความรู้เกี่ยวกับระบบสมองกลฝังตัว
และเป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน
โดยแนวคิดเรื่องการเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ นี้จะมีมาตั้งแต่ยุคต้นปี 1980
แต่ยังไม่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากความสามารถในการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในขณะนั้นยังไม่เพียงพอ
ต่างกับในปัจจุบัน โดยปัจจุบัน เราสามารถทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
ปฏิสัมพันธ์และ/หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้โดยง่าย
และเรียกว่าอุปกรณ์เหล่านี้ว่า อุปกรณ์ IoT
องค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่าอุปกรณ์ IoT อาจแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ (hardware) และ
ซอฟต์แวร์ (software)
โดยนวัตกรรมทั่วไปนั้นอาจจะมีเพียงส่วนเดียวคือฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เท่านั้นก็ได้
แต่สำหรับนวัตกรรมที่สร้างด้วยระบบสมองกลฝังตัว ก็คงจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้
โดยสำหรับอุปกรณ์ IoT ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบเครือข่ายที่ใช้เชื่อมต่อข้อมูลต่าง
ๆ อีกด้วย
ปัจจุบันอุปกรณ์ IoT แบ่งได้เป็นหลายประเภท
โดยมีประเภทที่ได้รับความสนใจมาก (เรียงตามลำดับ โดยอ้างอิงจาก
iot-analytics.com) คือ
บ้านอัจฉริยะ
(Smart
Home) หรือบ้านอัตโนมัติ (Home
Automation) ซึ่งเป็นกลุ่มอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อของใช้ในบ้าน เช่น
เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องตรวจสอบควัน ไฟส่องสว่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องเล่นเกมส์ เครื่องเสียง กลอนประตู/หน้าต่าง
อุปกรณ์สวมใส่
(Wearables) โดยอุปกรณ์จำพวกนาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) ถือเป็นกลุ่มอุปกรณ์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
เมืองอัจฉริยะ
(Smart
City) ถือเป็นกลุ่มที่มีการใช้อุปกรณ์ IoT เป็นวงกว้าง มีทั้ง ระบบไฟจราจรอัจฉริยะ ระบบบริหารการแจกจ่ายน้ำ ระบบความปลอดภัย
ระบบสังเกตการณ์สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยการใช้เทคโนโลยี IoT ในกลุ่มนี้
มีจุดประสงค์หลักเพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตในเมืองให้สะดวกมากยิ่งขึ้น และ/หรือ
แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมือง (เช่นปัญหาจราจร อาชญากรรมและมลพิษ)
สมาร์ทกริด (Smart Grid) เป็นการนำเทคโนโลยี
IoT
มาใช้ส่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อที่จะให้ระบบการจ่ายไฟฟ้ามีประสิทธิภาพ
มีเสถียรภาพ และประหยัดมากยิ่งขึ้น
อินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม
(Industrial
Internet) คือระบบการผลิตอัจฉริยะหรือโรงงานอันฉริยะ
ที่มีการนำเอาอุปกรณ์ IoT
มาติดตั้ง เพื่อที่จะทำให้ระบบการผลิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ยานยนต์ที่เชื่อมต่อ
(Connected
Car) สำหรับยานยนต์แห่งอนาคต
คงยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าจะออกมาในทิศทางใด แต่ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไร้คนขับ, ยานยนต์ไฟฟ้า หรือยานยนต์กึ่งอัตโนมัติ แนวคิดการเชื่อมต่อยานยนต์ต่าง ๆ
การใช้ระบบแผนที่นำทางและระบบไฟจราจร
น่าจะเป็นแนวคิดหนึ่งที่จะถูกนำมาใช้กับยานยนต์ทุกประเภท
ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นล้วนต้องอาศัยเทคโนโลยี IoT
ระบบสุขภาพที่เชื่อมต่อ
(Connected
Health) หรือในชื่อระบบสุขภาพดิจิทัล (Digital
Health) ระบบสุขภาพทางไกล (Telehealth/Telemedicine) เป็นแนวคิดที่จะนำระบบการดูแลสุขภาพมาเชื่อมต่อกันและนำอุปกรณ์อัจฉริยะทางด้านการแพทย์มาใช้
ด้วยเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบัน
การตรวจสุขภาพทางไกลแบบเวลาจริงสามารถทำได้จริงและระบบช่วยการตัดสินใจในการวินิจฉัยโรคได้พัฒนาขึ้นไปมาก
นอกจากเทคโนโลยีที่กล่าวมาข้างต้น
แล้วยังมีเทคโนโลยี การค้าปลีกอัจฉริยะ (Smart Retail) โซ่อุปทานอัจฉริยะ
(Smart Supply Chain) และ ฟาร์มอัจฉริยะ (Smart
Farming) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสนใจเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน