บันทึกแนวคิดเกี่ยวกับการเกษตร

สุวิทย์ กิระวิทยา

2 มกราคม 2562

 

สองแนวคิดที่โพสต์ในเฟสบุ๊คส์ เมื่อปลายปี 2018

 

1. เกษตรสถานะขอบ (Edge State Agriculture)

เกษตรสถานะขอบ เป็นแนวคิดการทำการเกษตรแนวหนึ่งที่ต่างจาก การเกษตรแปลงใหญ่ ปกติ เมื่อเรากล่าวถึงการทำเกษตร เรามักจะนึกถึง การทำเกษตรบนพื้นที่ขนาดใหญ่ ต้นพืชที่ปลูก (เช่น ข้าว ข้าวโพด)ใช้พื้นที่น้อยกว่าขนาดของแปลงมาก ๆ ทำให้ผู้ที่ทำการเกษตรมักจะพิจารณาการปลูกพืชในพื้นที่ตรงกลางแปลงเป็นหลัก และ แนวการวิจัยและพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรและการใช้ที่ดินก็มักจะมุ่งเน้นผลที่เกิดขึ้นที่กลางแปลง โดยตัดหรือละเลยผลที่เกิดขึ้นกับพืชที่ขอบแปลง แนวคิดของเกษตรแปลงใหญ่เป็นแนวคิดที่เหมาะสมกับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวบนพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่และเป็นที่มาในการพยายามรวมแปลงเกษตรเพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้พื้นที่เพื่อการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี หากเรายอมรับว่า เกษตรกรบางคนต้องเพาะปลูกบนพื้นที่ที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ได้ เช่นระดับความสูงต่ำหรือขนาดพื้นที่ไม่เหมาะสม แนวคิดการทำเกษตรสถานะขอบ อาจนำมาซึ่งการจัดการและผลผลิตที่ดี คือ ดีกว่าการพยายามใช้แนวคิดเทคโนโลยีเกษตรแปลงใหญ่บนพื้นที่ขนาดเล็ก ยิ่งไปกว่านั้น หากการเกษตรที่นำมาใช้ มีการปลูกพืชแบบผสมผสานหรือระบบอนุรักษ์ร่วมด้วย การทำเกษตรด้วยแปลงเกษตรที่มี เป็นการเกษตรสถานะขอบทั้งหมด แม้พืชที่ปลูกมิได้อยู่ที่ขอบ(จริงๆ) ของแปลงก็ตาม ก็อาจจะทำให้วิธีการจัดการแปลงที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เทคโนโลยีการเกษตรแบบเดิม

สำหรับการพัฒนาการทำเกษตรสถานะขอบ ก็ต้องเริ่มจากการวิจัยเพื่อให้ได้ ขั้นตอนที่เหมาะสม โดยความแตกต่างนั้น อาจเกิดตั้งแต่การเตรียมดิน การเพาะเมล็ดและเตรียมพันธุ์ แต่จะแตกต่างอย่างไรนั้น ก็มิอาจทราบได้ หากมิได้ศึกษาวิจัยเจาะจงลงไปกับพืชแต่ละชนิดและ/หรือ พื้นที่เพาะปลูกแบบต่าง ๆ

สรุป สิ่งที่เขียนข้างบนนี้ (เกษตรสถานะขอบ) เป็นเพียงแนวคิดหนึ่งซึ่งเปลี่ยนมุมมองการใช้พื้นที่เพาะปลูก ซึ่งมุมมองนี้อาจก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม หากมีผู้พยายามนำไปคิดต่อและใช้จริง

 

2. เกษตรเสริมด้วยสนามโน้มถ่วง (Gravitational Assisted Agriculture, GAA, แก)

สนามโน้มถ่วง (gravitational field) หรือแรงโน้มถ่วง (gravitational force) เป็นสิ่งที่พืชและสัตว์นำมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เราอาจกล่าวได้ว่า การที่สิ่งมีชีวิตบนโลก มีลักษณะอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็เพราะการมีสนามโน้มถ่วงนี้

การเกษตรในปัจจุบัน ก็มีการใช้ สนามโน้มถ่วงอยู่แล้ว โดยใช้เพียงหลักการที่เข้าใจได้ง่ายๆ คือการไหลหรือการตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำของสสารต่าง ๆ ตามสนามของแรงโน้มถ่วงนี้ เช่น การหว่านเมล็ดพันธุ์ การผันน้ำจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ซึ่งสำหรับน้ำนั้น ปัจจุบัน เรามีการสร้างเขื่อนที่กักเก็บและบริหารจัดการน้ำ (การชลประทาน) ในระดับพื้นที่ที่ใหญ่มากขึ้น โดยพลังงานที่ได้จากน้ำในที่สูงก็ถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าด้วย

แนวคิดเกี่ยวกับ เกษตรเสริมด้วยสนามโน้มถ่วง เป็นแนวคิดการนำพลังงานหรือแรงที่ได้รับจากสนามโน้มถ่วงมาพิจารณาใช้อย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งแนวคิดอย่างง่าย ๆ คือ การจัดระดับความสูงของพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสมกับระดับความต้องการใช้น้ำ ในการทำเกษตรแบบผสมผสานบนพื้นที่ต่างระดับ โดยเกษตรกรที่ต้องการใช้แนวคิดนี้ จำเป็นต้องปรับพื้นที่เพาะปลูกก่อน. แนวคิดอีกทางหนึ่งคือการเก็บพลังงานจากน้ำบ่อ (หรือน้ำฝนหรือสิ่งอื่น ๆ) แล้วนำมาใช้ผันเป็นพลังงานในรูปแบบอื่น เมื่อต้องการใช้

แนวคิดนี้อาจนำมาสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนแบบผสมผสานมากขึ้น ซึ่งทำให้ความต้องการการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันในการทำการเกษตรลดลง และทำให้ การทำเกษตรมีความยั่งยืนในแง่พลังงานมากยิ่งขึ้น

 

End