สัจพจน์ของกลศาสตร์ควอนตัม (Axioms of Quantum Mechanics)

สุวิทย์ กิระวิทยา

13 กุมภาพันธ์ 2561

 

สัจพจน์ของกลศาสตร์ควอนตัมจะแสดงเป็นข้อความสั้น ๆ เพียงไม่กี่ข้อ (4 ข้อในที่นี้) ที่ใช้เป็นเสมือนกฎในการศึกษาทำความเข้าใจการอธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่สังเกตและวัดได้จริงด้วยกลศาสตร์ควอนตัม

โดยก่อนที่จะกล่าวถึงสัจพจน์เหล่านี้ เราจะต้องกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทางฟิสิกส์และรูปแบบวัตถุทางคณิตศาสตร์ที่นำมาใช้อธิบายเสียก่อน โดยสำหรับกลศาสตร์ควอนตัมนั้น เราใช้ความรู้เรื่องเวกเตอร์ปริภูมิ (ในพีชคณิตเชิงเส้น) เป็นพื้นฐาน โดยมีข้อกำหนดคือ

 

1. สถานะของระบบทางกายภาพจะแสดงได้ด้วยเวกเตอร์สถานะในปริภูมิฮิลเบิร์ท H (Hilbert space) ซึ่งหมายความว่าเวกเตอร์* |yñ และ l|yñ (โดยที่ l ¹ 0) แทนสถานะเดียวกัน โดยทั่วไปแล้วเราจะสมมติให้เวกเตอร์สถานะนี้ถูกนอร์มัลไรซ์แล้ว (áy |yñ = 1 )

 

2. ตัวแปรพลวัตที่สามารถตรวจวัดได้ในระบบทางกายภาพจะแสดงด้วย "ตัวดำเนินการที่สังเกตได้" (observable operator) ในปริภูมิ H ซึ่งหมายความว่าตัวดำเนินการนี้มีคุณสมบัติเฮอร์มิเทียน (Hermitian) โดยตัวดำเนินการนี้มีเวกเตอร์เจาะจงที่สามารถใช้เป็นเวกเตอร์ฐานในการเขียนเวกเตอร์ใด ๆ ในปริภูมิ H ได้

 

* สำหรับในวิชากลศาสตร์ควอนตัมนี้ เราจะใช้สัญลักษณ์เค็ท (ket) |.ñ แทนเวกเตอร์ โดยเรียกการเขียนรูปแบบนี้ว่า สัญกรณ์บรา-เค็ทของดิแรก (Dirac bra-ket notation)

 

 

สัจพจน์ 4 ข้อ ของกลศาสตร์ควอนตัม มีดังนี้

 

สัจพจน์ 1: ผลการวัดที่เกิดขึ้นได้ (จากการวัดปริมาณใด ๆ ที่ตรวจวัดได้ในระบบ) จะเป็นได้เพียงค่าเจาะจงตัวหนึ่งของตัวดำเนินการที่สอดคล้องกับการวัดนั้น โดยผลจากการกระทำการวัดนี้ทำให้ระบบเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะที่แสดงได้ด้วยเวกเตอร์เจาะจงที่สอดคล้องกับค่าเจาะจงที่วัดได้

 

สัจพจน์ 2: ถ้าหากเราทราบว่าระบบอยู่ในสถานะ |A'ñ แล้ว ความน่าจะเป็นที่การวัด B จะให้ค่าเป็น B' คือ

 

                    P(A',B')  =  |áA' | B'ñ|2                                                              (1-1)

 

โดยถ้าหากว่า B เป็นการวัดที่มีความต่อเนื่อง จะได้ว่า

 

                    |áA' | B'ñ|2 dB'                                                                         (1-2)

 

คือความน่าจะเป็นของการวัด B จะให้ค่าอยู่ในช่วง B' ถึง B' + dB'

 

สัจพจน์ 3: ตัวดำเนินการ A และ B จะสอดคล้องกับตัวแปรพลวัตแบบดั้งเดิม A และ B ที่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ไปกลับ (commutation relation)

 

                    [A, B] = AB – BA = iħ{A, B}op                                                  (2)

 

โดย { , }op คือตัวดำเนินการที่สอดคล้องกับบราคเค็ทปัวซงแบบดั้งเดิม (Poisson bracket) คือ

 

                                                                    (3)

 

โดยที่ pi และ qi คือพิกัดและโมเมนตัมของระบบ (ที่นิยามแบบดั้งเดิม กลศาสตร์คลาสสิก) ซึ่งจากความสัมพันธ์คอมมูทเทชันนี้เราแสดงให้เห็นโดยง่ายได้ว่า

 

                    [qi, qj] = [pi, pj] = 0                                                                (4-1)

 

และ               [qi, pi] = iħ dij 1                                                                   (4-2)

 

โดย dij คือโครเนคเกอร์เดลต้า (Kronecker delta) มีค่าเท่ากับหนึ่งเมื่อ i เท่ากับ j และเท่ากับศูนย์เมื่อ i และ j ไม่เท่ากัน

 

สัจพจน์ข้อ 3 นี้นำมาซึ่งการค้นพบที่สำคัญคือ ถ้าหากเรานิยามค่าคาดคะเน (expectation value) ของสิ่งที่สังเกตได้ด้วย

 

                    áAñ = á y | A | y ñ                                                                   (5)

 

และนิยามความไม่แน่นอน (uncertainty) ด้วย

 

                    DA = á (A - 1 áAñ)2 ñ1/2                                                            (6)

 

เราจะสามารถแสดงให้เห็น (โดยใช้อสมการชวาส (Schwarz's inequality)) ได้ว่า

 

                    (DA2) (DB2)  ³  -1/4á [A, B] ñ2                                                  (7)

 

ซึ่งหากแทน A ด้วย pi และ B ด้วย qj และใช้สมการ (4-2) จะได้ความสัมพันธ์ความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg uncertainty) คือ

 

                    Dpi Dqj  ³  (ħ/2) dij                                                                 (8)

 

ถึงตรงนี้ เรากล่าวถึงเพียงแค่ความเชื่อมโยงกันระหว่างเวกเตอร์และสิ่งที่สังเกตได้ ณ เวลาหนึ่ง สำหรับพลวัตของระบบนั้นเราสามารถจำลองได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน โดยสำหรับสัจพจน์ข้อสุดท้ายนี้เราจะนำเสนอ ภาพของชโรดิงเจอร์ (Schrödinger picture) หรือเรียกว่า การนำเสนอแบบชโรดิงเจอร์ ซึ่งมีรูปแบบคือ เวกเตอร์สถานะจะเป็นฟังก์ชันของเวลาและตัวดำเนินการที่สังเกตได้จะไม่ขึ้นกับเวลา

 

สัจพจน์ 4: กำหนดให้สถานะของระบบที่เวลา t0 คือ |y0ñ และสถานะของระบบที่เวลา t ใด ๆ คือ |yñ สถานะทั้งสองนี้จะสัมพันธ์กันด้วยการแปลงยูนิแทรี (unitary transformation) คือ

 

                    |yñ  =  U(t – t0) |y0ñ                                                                (9)

 

โดยที่

                    U(t – t0)  =  exp(-i/ħ H(t – t0))                                                   (10)

 

และ H คือตัวดำเนินการฮามิลโทเนียน (Hamiltonian operator) ซึ่งแทนพลังงานรวมของระบบ

 

หากกำหนดให้  t –t0 = dt, |yñ – |y0ñ = d |yñ และ

 

                    U(dt)  =  exp(-i/ħ H dt)  =  1 – i/ħ H dt                                       (12)

 

จะได้ว่า

 

                                                                                      (13)

 

ซึ่งสมการนี้มีชื่อเรียกว่า สมการชโรดิงเจอร์

 

แนวทางอธิบายพลวัตของระบบที่เทียบเท่ากับภาพของชโรดิงเจอร์ คือ ภาพของไฮเซนเบิร์ก (Heisenberg picture) ซึ่งกำหนดให้ U = U(t – t0) และพิจารณาการแปลงยูนิแทรีคือ

 

                    |yñH  =  U-1|yñS  =  U-1 U |y0ñS  =  |y0ñS                                      (14)

 

และ               AH(t) = Ut-1ASUt                                                                     (15)

 

โดยตัวห้อย S และ H บ่งบอกสถานะและตัวดำเนินการในภาพของชโรดิงเจอร์และไฮเซนเบิร์กตามลำดับ ซึ่งในภาพของไฮเซนเบิร์กนี้ เวกเตอร์สถานะจะคงที่ในขณะที่ตัวดำเนินการ AH จะขึ้นกับเวลา คือ

 

                                                                     (16)

 

โดยการเขียนแสดงอนุพันธ์ของ AH จะได้ว่า

 

                                        (17)

 

ซึ่งสมการนี้มีชื่อเรียกว่า สมการการเคลื่อนที่ของไฮเซนเบิร์กสำหรับตัวดำเนินการ AH โดยสมการการเคลื่อนที่นี้สามารถเทียบเคียงได้กับสมการการเคลื่อนที่แบบดั้งเดิมสำหรับตัวแปรพลวัตในรูปแบบบราคเค็ทปัวซง คือ

 

                                                                                             (18)

 

โดยจากสมการ (17) จะพบว่าตัวดำเนินการที่ไปกลับได้ (commute) กับฮามิลโทเนียนจะแสดงการเคลื่อนที่แบบคงที่

 

 

เอกสารอ้างอิง

[1] E. G. Harris, A Pedestrain Approach to Quantum Field Theory, John Wiley & Sons (1972)

[2] https://en.wikipedia.org/wiki/Mathematical_formulation_of_quantum_mechanics

 

End